วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555


                                                        รางวัลโนเบล
ความเป็นมาของรางวัลโนเบล (Nobel prize)
อัลเฟร็ด โนเบล (Alfred Nobel) นักเคมีชาวสวีเดน ผู้ประดิษฐ์ชุดดินระเบิด
ที่เรียกว่า ไนโตรกลีเซอรีน (Nitroglycerine) หรือระเบิดไดนาไมต์ รู้สึกเสียใจ
ที่ระเบิดของเขาถูกนำไปใช้ในการคร่าชีวิตมนุษย์ เมื่อเขาเสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1896
เขาระบุในพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติให้นำไปตั้งมูลนิธิโนเบล เพื่อเป็นการสนับสนุน และมอบรางวัลให้แก่บุคคลที่มีผลงานวิจัยหรือสิ่งประดิษฐ์ที่โดดเด่น หรือสร้างคุณ
ประโยชน์ให้กับมนุษยชาติ โนเบลแสดงเจตนารมณ์ไว้ในพินัยกรรมของเขา
อย่างชัดแจ้งว่า "...It is my express wish that in awarding the prizes no consideration be given to the nationality of the candidates, but that the most worthy shall receive the prize, whether he be Scandinavian or not. ..." ซึ่งหมายถึง ผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับรางวัลนี้ต้องเป็น "บุคคลผู้อำนวยคุณประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ" โดยไม่จำกัดว่าบุคคลผู้นั้น
จะมีเชื้อชาติไหน พูดภาษาใด

พิธีมอบรางวัลโนเบลจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในวันที่ 10 ธันวาคม โดยจัดขึ้น
ครั้งแรกหลังจากโนเบลเสียชีวิตไปได้ 5 ปี (ค.ศ. 1901) มี 5 สาขา คือ คือ ฟิสิกส์
(physics) เคมี (chemistry) การแพทย์และสรีรวิทยา (physiology or
medicine) วรรณกรรม (literature) สันติภาพ (peace) และในปี ค.ศ. 1969
จึงเพิ่มรางวัลอีก 1 สาขา คือสาขาเศรษฐศาสตร์ (economic)

ผู้พระราชทานรางวัลโนเบลคือ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรสวีเดน
แม้ว่าบางปีรางวัลบางสาขาอาจไม่มีการตัดสิน แต่มีข้อกำหนดว่าระยะเวลา
ของการเว้นการมอบรางวัลต้องไม่เกิน 5 ปี รางวัลที่มอบให้ประกอบด้วย เหรียญทอง
ที่ด้านหน้าสลักเป็นรูปหน้าของอัลเฟร็ด โนเบล พร้อมใบประกาศเกียรติคุณและเงินสด

รางวัลโนเบลถือ เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่และทรงเกียรติของชาวโลก ถือเป็นสิ่งที่เชิดชูเกียรติ บ่งบอกถึงความเก่งกาจ ยอดเยี่ยม และเป็นผู้อุทิศตนเพื่อความเจริญก้าวหน้า ความสงบและสันติของสังคมโลก




ที่มา : หนังสือ NOBEL PRIZE 100 ผู้พิชิตรางวัลโนเบล ผู้เขียน ศ.ดร. สุทัศน์ ยกส้าน, รศ. ดร. ญาดา ประภาพันธ์, พ.ท.ผศ.ดร. พีรพล สงนุ้ย, พ.ท.ผศ.ดร. ศรศักร ชูสวัสดิ์, ร.อ. ชุมพล รักงาม, พ.อ.หญิง ชมนาค เทียมพิภพ, ลอองทิพย์ อัมรินทร์รัตน์, วรุณยุพา ฮอล ลิงกา

                              
                        รางวัลซีไรต์

ความเป็นมารางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (รางวัลซีไรต์) ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2522 โดยความคิด
ริเริ่มจากบุคคลกลุ่มหนึ่งที่มีความใกล้ชิดกับฝ่ายบริหารโรงแรมโอเรียนเต็ลในขณะนั้น โดยได้รับความสนับสนุนอย่างมากจากพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเปรม บุรฉัตร เชื้อพระวงศ์ผู้ทรงความรอบรู้สามารถ และเป็นที่เคารพในแวดวงอักษรศาสตร์ และจากอีกหลายองค์กร เป็นต้นว่า กลุ่มอิตัลไทย บริษัท การบินไทย จำกัด ใน พ.ศ. 2527 ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้เข้าร่วมให้การสนับสนุน

“รางวัลซีไรต์” มีความมุ่งหมายเพื่อส่งเสริม สนับสนุน และเชิดชู นักเขียนในกลุ่มประเทศอาเซียน จาก 5 ประเทศแรกเริ่ม ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ต่อมาอีก 5 ประเทศได้ทยอยเข้าร่วมเป็นสมาชิกอาเซียนเพิ่มเติม ได้แก่ บรูไน เวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา “รางวัลซีไรต์” จึงได้มอบรางวัลให้แก่ทุกประเทศสมาชิกนับตั้งแต่ พ.ศ. 2542 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ภายในประเทศพม่าได้งดส่งผู้เข้ารับรางวัลมานับแต่ พ.ศ. 2544

“รางวัลซีไรต์” จัดเป็นรางวัลเดียวในโลกที่มอบรางวัลทางวรรณกรรมให้แก่นักเขียนจากหลากหลายประเทศ
ภายในภูมิภาคเป็นรางวัลที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและยกย่องในแวดวงวรรณกรรมทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นรางวัลที่สร้างชื่อเสียงและเกียรติภูมิที่สง่างามให้แก่ประเทศไทยในฐานะประเทศเจ้าภาพผู้ก่อตั้งรางวัลนี้ด้วย

ประธานคณะกรรมการดำเนินงานคัดเลือกและตัดสินรางวัลซีไรต์ในภาคประเทศไทยพระองค์แรก คือ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเปรม บุรฉัตร ทรงได้รับความร่วมมือด้วยดียิ่งจาก “สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย” และ “สมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย” เป็นผลให้มาตรฐานการคัดเลือกผลงานที่ได้รับรางวัลทุกปีนับแต่แรกก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน อยู่ในระดับดีเยี่ยม ดังเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาคมวรรณกรรมไทยมาโดยตลอด

พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่โปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชทานรางวัลเมื่อ พ.ศ. 2522 ปีแรกแห่งการก่อตั้ง และต่อมา ได้ทรงโปรดให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ หรือสมเด็จพระเทพรัตน์
ราชสุดาฯ เสด็จพระราชทานรางวัลทุกปีนั้น ได้ส่งเสริมให้ “รางวัลซีไรต์” เป็นรางวัลที่ทรงเกียรติและสูงค่า และงานพระราชทานรางวัลเป็นงานราตรีสโมสรทางวรรณกรรมประจำปีที่โดดเด่นที่สุดในประเทศไทยด้วย

ด้วยเกียรติภูมิที่ “รางวัลซีไรต์” ได้สั่งสมและสืบทอดอย่างงดงามมานานกว่า 30 ปี “รางวัลซีไรต์” ในปัจจุบัน
จึงเป็นรางวัลทางวรรณกรรมประจำปีที่ประชาคมวรรณกรรมไทยและภูมิภาคอาเซียนเฝ้าคอยอย่างจดจ่อ
สื่อมวลชนให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง นักอ่านชื่นชม อีกทั้งยังนำพาให้เกิดนักเขียนคุณภาพรุ่นใหม่ขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย

รางวัลซีไรต์ (อังกฤษ: S.E.A. Write) มีชื่อเต็มว่า รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (อังกฤษ: Southeast Asian Writers Award) เริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2522 เป็นรางวัลประจำปีที่มอบให้แก่กวีและนักเขียนใน 10 ประเทศรัฐสมาชิกแห่งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน

โดยงานเขียนที่ได้รับรางวัลเป็นผลงานที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง และมีงานเขียนหลากหลายรูปแบบที่ได้รับรางวัล อย่างเช่น กวีนิพนธ์ เรื่องสั้น นวนิยาย ละครเวที คติชนวิทยารวมไปถึงงานเขียนด้านสารคดีและงานเขียนทางด้านศาสนา พิธีจะถูกจัดขึ้นในกรุงเทพมหานคร โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ทรงเป็นประธานในพิธี

นับตั้งแต่มีการก่อตั้งรางวัลซีไรต์ขึ้น สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงประกอบด้วยรัฐสมาชิกเพียง 5 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์และไทย ต่อมา ในปี พ.ศ. 2527 บรูไนได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เวียดนามเข้าร่วมในปี พ.ศ. 2538 ลาวและพม่าเข้าร่วมในปี พ.ศ. 2540 และกัมพูชาเข้าร่วมหลังสุดในปี พ.ศ. 2542

[แก้]รายนามนักประพันธ์ที่ได้รับรางวัลซีไรต์

ปีธงชาติของบรูไน บรูไนธงชาติของกัมพูชา กัมพูชาธงชาติของอินโดนีเซียอินโดนีเซียธงชาติของลาว ลาวธงชาติของมาเลเซีย มาเลเซียธงชาติของประเทศพม่า พม่าFlag of the Philippines ฟิลิปปินส์ธงชาติของสิงคโปร์ สิงคโปร์ธงชาติของไทย ไทยธงชาติของเวียดนาม เวียดนาม
พ.ศ. 2522สุทาดจี คาลซูม บาซรีเอ ซามัด ซาอิดโจลิโค คัวตราเอ็ดวิน นาตาซัน ธัมบูคำพูน บุญทวี
พ.ศ. 2523ปูตู วิจายายาฮารุดดิน ไซนาลนิค ฮัวควินมาซูรี บิน ซาลิกันเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
พ.ศ. 2524โกว์นาวา โมฮาหมัดอับดุลลาห์ ฮัซเซนเกรโกริโอ บริลแลนเตสวอง เม็ง วุนอัศศิริ ธรรมโชติ
พ.ศ. 2525มาริแอน คาทอพโพอุสแมน อาวังเอเดรียน อี คริสโตบอลเอ็ม บาลากริชนันชาติ กอบจิตติ
พ.ศ. 2526วาย. บี. มังกุนวิชายาอาคิบา อามินเอดิแบร์โต เทียมโปอาร์เธอร์ ยัปคมทวน คันธนู(ประสาทพร ภูสุศิลป์ธร)
พ.ศ. 2527บูดิ คาร์มะลาติฟ โมฮิดินเวอร์จิเนีย มอริโนว่อง ยุน หว่าวาณิช จรุงกิจอนันต์
พ.ศ. 2528อับดุล ฮาดิ้รินา วาตีคาเรโด เดเมทิลโลสเมล บิน ฮาจิกฤษณา อโศกสิน(สุกัญญา ชลศึกษ์)
พ.ศ. 2529มุสลิม บุรมัตซาปาร์ดี ดโจโก ดาโมโนเคมาลาโฮเซ ซิซันปารานันอังคาร กัลยาณพงศ์
พ.ศ. 2530ทัจญี ยะห์ยา บิน ทัจญี อิบราฮิมดร. อุมาร์ คัยยามนูร์ดิน ฮัสซันเบียงเวนิโด เอ็น ซานโตสดร. ลี ซู เพ็งไพฑูรย์ ธัญญา(ธัญญา สังขพันธานนท์)
พ.ศ. 2531ฮาจิ ลีมัน บิน อาหมัดดานาร์โตอาซิซิ ฮาจิ อับดุลลาห์เวอร์จิลิโอ เอศ อัลมาริโอลิวไป่อัน หรือ จัวบุนเทียนนิคม รายยวา(นิคม กอบวงศ์)
พ.ศ. 2532ฮาจิ บิน ฮาจิ โมฮัมหมัด ซาอิดเกอร์สัน ปอยส์สิติ ไซมอน อิสไมล์ลีนา เอสปินา มัวร์สุรัตมาน มาร์กาซานจิระนันท์ พิตรปรีชา
พ.ศ. 2533โมหะมัด ซาเลห์ บิน อับดุล ลาติฟอาริฟิน ซี โนเออร์ส. โอธมาน เกลันตันคาร์แมน แกร์โร นักปิลรามา กันนาพิรันอัญชัน(อัญชลี วิวัธนชัย)
พ.ศ. 2534ฮาจิ มูฮัมหมัด ซาอีนสุบาจิโอ ซัสโตรวาร์โดโยจิฮาติ อาบาดิอิซากานิ อาร์ ครูซโกปาล บาราธัมมาลา คำจันทร์(เจริญ มาลาโรจน์)
พ.ศ. 2535Awang Haji Abdul Rahmanอาลี อัคบาร์ เนวิสอิสเมล อับบาสอัลเฟรด เอ ยูซอนเฉิง เหวง ยัดศักดิ์สิริ มีสมสืบ(กิตติศักดิ์ มีสมสืบ)
พ.ศ. 2536เปนกิรัน ฮาจี โมฮัมหมัด ยูซุพรามาดัน เค เอชกามารัซซามัน อับดุล กาดีร์ลินดา ตี-แคสเปอร์มูฮัมหมัด อารีฟ อาห์หมัดศิลา โคมฉาย(วินัย บุญช่วย)
พ.ศ. 2537ยัง มุเลีย อาวัง ฮัจญี มอรซิดี บิน ฮัจญี มัรสัลเตาฟิก อิสมาอิลเอ วาฮับ อลีบูนาเวนจูรา เอส เมดินา จูเนียร์นา โควินทสามีชาติ กอบจิตติ
พ.ศ. 2538เพนกิรัน ฮาจิ อาจิ มูฮัมมัด อับดุล อาซิสอับมาด โทฮาริซูไฮมิ ฮาจิ มูฮัมมัดเตโอ ที อันโตนิโยหลิว ฟู ฉั่น (ดาน ยิง)ไพวรินทร์ ขาวงาม
พ.ศ. 2539เพนกิรัน ฮาจิ สับตุเรนดราซาฮาราห์ นาวาวิไมค์ แอล พิกอร์เนียโฮ มินฟองกนกพงศ์ สงสมพันธุ์โต ฮู
พ.ศ. 2540อาหวัง โมฮัมหมัด บิน หัจญี ติมบังเซโน กูมิรา อยีดารมามูฮัมหมัด หัจญี ซัลเลฮ์อเลฮันโดร โรเซสอีลันโกวันวินทร์ เลียววาริณ
พ.ศ. 2541บาดารุดดิน เอช โอเอ็น ริอานติอาร์โนดร. ทองคำ อ่อนมณีสอนรศ. ดร. ออตมาน ปูเตซินพิวขจุน อองเตงมาร์นี แอล กิลาเตสอับดุล กานิ ฮามิดแรคำ ประโดยคำ(สุพรรณ ทองคล้อย)มา วัน คัง
พ.ศ. 2542นอร์เซีย เอ็ม เอสพิค ตุม คราเวลดร. คุนโทวิโจโย เอ็มเอจันตี เดือนสะหวันคาดิจาห์ ฮาซิมอู่ เคียว อังโอพีเลีย ดีมาลานตาดร. แคทเธอรีน ลิมวินทร์ เลียววาริณฮิว ถิง
พ.ศ. 2543เปฮิน ดาโต๊ะ อับดุล อะซีส บิน จูเนดกุง บุน เชือนวิสรัน ฮาดีสุวันทอน บุปผานุวงลิม สวี ตินดอว์ ยิน ยินอันโตนิโอ เอ็นริเกซเทโอ ฮีลาวิมล ไทรนิ่มนวลเหงียน ไค
พ.ศ. 2544อาหวัง ฮัจจี อิบบราฮิม บิน ฮัจจี มูฮาหมัดเมา อายุทธไซนี เค เอ็มโสมสี เดชาคำพูซากาเรีย อาร์ริฟินอู ทิน จีเฟลิซ พรูเดนเต ซันตา มาเรียโมฮัมเมด อิกบัลโชคชัย บัณฑิต(โชคชัย บัณฑิตศิละศักดิ์)เหงียน ดุ๊ก เมา
พ.ศ. 2545รอสลี อบีดิน ยาห์ยาเซง ซัม อันดาร์มันโต จัตมันวิเศษ แสวงศึกษาดร. อันวาร์ บิน ริดห์วันโรแบร์โต ที อโนนูเอโวโมฮัมเหม็ด ลาทิฟ บิน โมฮัมหมัดปราบดา หยุ่นเหงียน เคียน
พ.ศ. 2546รศ.ดร. หะจี ฮาชิม บิน หะจี อับดุล ฮามิดคิม ปินุนเอน เอช ดินีเทียบ วงปะกายดร. ซาคาเรีย อาลีดร. โดมินโก จี. แลนดิโชฟิลิป ชัยรัตนัมเดือนวาด พิมวนา(พิมใจ จูกลิ่น)บาง เวียด
พ.ศ. 2547หะจี จาวาวี บิน อะหมัดเช ชัปกุส ทีเอฟ ซาไกทองใบ โพธิสานซูรินาห์ ฮัซซันดร. เซซาร์ รูอิซ อากีโนดร. ซูน ไอ ลิงเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์โด ชู
พ.ศ. 2548ราฮิมี เอ. บี.เมียช ปอนน์อาเซป แซมแซม นูร์บุญเสิน แสงมณีอับดุล คะฟาร์ อิบราฮิมมาลู ฮาคอบพี. กฤษณันบินหลา สันกาลาคีรี(วุฒิชาติ ชุ่มสนิท)ฟู ตรัม (อินระสะระ)
พ.ศ. 2549สะวัล ราจาบวันนาริรัก ปาลสิเตอร์ สิตูโมรังดวงเดือน บุนยะวงจอง เชียน ไลวิกเตอร์ เอมมานูเอล คาร์เมโล ดี. นาเดรา จูเนียร์อีซา กามารีงามพรรณ เวชชาชีวะเล ฟาน เถา
พ.ศ. 2550หะจี ม็อกซิน บินหะจี อับดัล การดีร์อม สุภาณีสุปาร์โต บราตารัตนวง หุมพันศาสตราจารย์ เราะห์มาน ชารี-ไมเคิล โคโรซาเรกซ์ เชลลีมนตรี ศรียงค์ชัน วัน ตวน
พ.ศ. 2551หะจี โมฮัมมัด บิน แปงกิรัน หะจี อับดุล เราะห์มานซิน โตจฮัมซาด รังกุติโอทอง คำอินซูฮัตตา อาซัด ข่าน-เอลเมอร์ อาลิงโดกัน ออร์โดเนซสเตลลา กอนวัชระ สัจจะสารสิน(วัชระ เพชรพรหมศร)เหวียน หงอก ตือ
พ.ศ. 2552ฮัจญา นอร์เซีย บินติ อับดุล กาปาร์-ฟลอริเบอร์ตุส ราฮาร์ดีคำแสง สีโนนทองอัซมาห์ นอร์ดีน-อับดอน เจอาร์ บัลเดเจีย วี เพงอุทิศ เหมะมูลกาว ยวี เซิน
พ.ศ. 2553วิจยา-อัฟริซัล มัลนาดารา กันละยาซาเอน กัสตูรี-มาจอรี เอวาสโกโจฮาร์ บิน บวงซะการีย์ยา อมตยาเหงียน นัต อัน
พ.ศ. 2554โมฮัมเม็ด เซฟรี
อารีฟ บิน
โมฮัมเม็ด ไซน์ อารีฟ
-ดี. ซาวาวี อิมรอนบุนทะนอง ชมไชผนโมฮัมเม็ด ซากีร์
ไซยิด บิน
ไซยิด ออสมัน
-โรมูโล พี. บากิรัน จูเนียร์รอเบิร์ต เหยา เฉิงชวนจเด็จ กำจรเดช(สถาพร จรดิษฐ)เหงวียน จี๋ ตรุง
พ.ศ. 2555--------วิภาส ศรีทอง-
                                 2
     

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555


วัจิต  รีะจั







แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ มีนามจริงว่า นางเกลียว เสร็จกิจ เกิดเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๙๐ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นผู้ที่มีความสนใจทางด้านการร้องเพลงพื้นบ้านมาตั้งแต่ปี ๒๕๐๕ ขณะที่อายุประมาณ ๑๕ ปี โดยมีความชื่นชม และเฝ้าติดตามการขับร้องเพลงของแม่บัวผัน จันทร์ศรี (ศิลปินแห่งชาติ) และ ครูไสว วงษ์งาม อย่างใกล้ชิดและในที่สุดก็ได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อฝึกฝนการขับร้องเพลงกับครูเพลงทั้ง ๒ ท่าน ด้วยความเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในทางการขับร้อง กอปรด้วยความมีไหวพริบปฏิภาณ และน้ำเสียงอันเป็นเลิศ อีกทั้งมีความมานะพยายามไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ทำให้แม่ขวัญจิตสามารถเรียนรู้วิธีการขับร้องเพลงพื้นบ้านประเภทต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพลงอีแซว จากแม่บัวผัน และเพลงแนวผู้ชายจากครูไสวได้เป็นอย่างดีภายในระยะเวลาไม่นาน

แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ไม่เพียงมีความสามารถในด้านการขับร้องเพลงพื้นบ้านเท่านั้น หากท่านยังมีความสามารถในการแต่งเพลงอีแซวได้อย่างเป็นเลิศอีกด้วย เนื่องจากท่านมีความรักในด้านการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วรรณคดีไทยเป็นพิเศษ จึงสามารถจดจำลีลาการประพันธ์และเค้าโครงเรื่องเหล่านั้นมาประพันธ์เป็นเพลงอีแซวได้อย่างไพเราะงดงาม

แม่ ขวัญจิตได้ออกตระเวนเล่นเพลงอีแซวเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์และหาความรู้กับ ครูเพลงพื้นบ้านอีกหลายท่านทำให้ความสามารถของท่านพัฒนาขึ้นโดยลำดับจนเริ่ม มีชื่อเสียง จากนั้นในช่วงประมาณปี ๒๕๑๐ ก็ได้หันไปสนใจการขับร้องเพลงลูกทุ่ง โดยได้เข้าเป็นนักร้องเพลงลูกทุ่งในวงดนตรีของครูจำรัส สุวคนธ์ และวงดนตรีของ ครูไวพจน์ เพชรสุพรรณ ตามลำดับจนมีชื่อเสียงโด่งดัง เพลงลูกทุ่งที่ร้องอัดแผ่นเสียงเป็นเพลงแรกคือ เพลงเบื่อสมบัติ ตามด้วยเพลงดังอื่นๆ เช่น ลาน้องไปเวียดนาม ขวัญใจคนจน แม่ครัวตัวอย่าง ฯลฯ จากนั้นก็ได้แต่งเพลงเองอันได้แก่เพลง กับข้าวเพชฌฆาต น้ำตาดอกคำใต้ สาวสุพรรณ เป็นต้น เมื่อประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงอย่างกว้างขวางแล้ว ก็ได้จัดตั้งวงดนตรีลูกทุ่งของตนเองขึ้น โดยใช้ชื่อว่าวงขวัญจิต ศรีประจันต์ ซึ่งท่านได้นำเอาระบบแสง สี เสียง อันทันสมัยน่าตื่นตาตื่นใจมาใช้ในการแสดง อีกทั้งได้ประยุกต์เพลงอีแซว มาผสมผสานเข้ากับเพลงลูกทุ่งได้อย่างกลมกลืมทำให้ได้รับความนิยมชมชอบจากผู้ ชมเป็นอย่างยิ่ง

แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ได้ใช้ชีวิตอยู่ในวงการเพลงลูกทุ่งจนกระทั่งถึงปี ๒๕๑๖ จึงได้ยุบวงแล้วหันกลับไปฟื้นฟูเพลงอีกแซวอีกครั้ง โดยในการกลับมาครั้งนั้น ท่านได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะอนุรักษ์ ฟื้นฟู และเผยแพร่ศิลปะพื้นบ้านแขนงนี้อย่างจริงจัง โดยนอกจากการแสดงแล้ว ท่านยังอุทิศตนในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยได้ไปบรรยายและสาธิตการแสดงเพลงพื้นบ้านในสถานศึกษาต่างๆ ตั้งแต่ระดับโรงเรียนจนถึงมหาวิทยาลัย และยังคงปฏิบัติเช่นนี้สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ผลงานการขับร้องเพลงด้านต่างๆ ของแม่ขวัญจิต ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันนอกจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมีอีกมากมาย แบ่งออกเป็นเพลงหลายประเภทดังนี้

ประเภทเพลงลูกทุ่ง ได้แก่ เพลงเศรษฐีสุพรรณ ก็นั่นนะซิ วุ้ยว้าย นางครวญ อ้อมอก เจ้าพระยา อายบาปอายบุญ ปิดทองพระ แห่ผ้าป่า แฟนหนังเร่ เสียงครวญจากชาวประชา ชวนน้องกลับอีสาน กับข้าวเพชฌฆาต ฯลฯ

ประเภทเพลงพื้นบ้าน ได้แก่ เพลงชุดปัญหาหัวใจ อานิสงส์ทอดกฐิน ประเพณีไทย น้ำตาหมอนวด ประวัติเมืองสุพรรณ อีแซวประยุกต์ พระมาลัยโปรดนรก พระคุณพ่อแม่ อานิสงส์บรรพชา ประเพณีแต่งงาน เต้นกำรำเคียวเกี่ยวมดตะนอย ฯลฯ

ประเภทเพลงแหล่ ได้แก่ แหล่มัทรีเดินดง แหล่ประวัตินาค แหล่กัญหาชาลี แหล่ทำขวัญนาค แหล่ถาม-ตอบพิธีแต่งขันหมาก แหล่ถาม-ตอบเรื่องการแต่งาน ฯลฯ

จากความสามารถและความทุ่มเททั้งกายและใจในวิชาชีพ ทำให้แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ได้รับรางวัลและเกียรติคุณต่างๆ หลายประการ ได้แก่

- ได้รับการคัดเลือกเป็นสื่อพื้นบ้านดีเด่น ของศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาคกลางและสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพย์ติด เมื่อปี ๒๕๓๓

- ได้รับพระราชทานโล่เชิดชูเกียรติ ศิลปินเพลงลูกทุ่งดีเด่น จากงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทยภาค ๒ ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เมื่อ ปี ๒๕๓๔

- ได้รับโล่เกียรติคุณ ในฐานะนักร้องลูกทุ่งดีเด่น ของจังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อ ปี ๒๕๓๖ เป็นต้น

นอกจากจะเป็นศิลปินเพลงพื้นบ้านและเพลงลูกทุ่งที่มีความสามารถสูงยิ่งแล้ว แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ยังเป็นผู้ที่มีจิตใจเปี่ยมด้วยคุณธรรมอย่างน่าสรรเสริญ ตลอดชีวิตของการเป็นนักร้องเพลงพื้นบ้านและเพลงลูกทุ่ง ท่านได้อุทิศตนช่วยเหลืองานบุญงานกุศลต่างๆ มิเคยว่างเว้นทั้งงานราษฎร์ และงานหลวง อาทิ การช่วยรณรงค์เพื่อปราบปรามยาเสพย์ติด การรณรงค์ในเรื่องปัญหาโรคเอดส์ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาต่างๆ และการรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น จากผลงานและเกียรติคุณดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ จึงประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้ท่านเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน-อีแซว) เมื่อปี พุทธศักราช ๒๕๓๙

จักรกฤษณ์และผมเดินทางไปยังจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นที่รวมแห่งศิลปินแห่งชาติหลายท่านอีกครั้ง เพื่อถ่ายภาพแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ หลังจากที่เคยมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปีก่อน แต่ไม่พบท่าน เพราะในครั้งนั้นผมได้นัดอาไว้ล่วงหน้า

ขณะที่ไปถึงภาพแรกที่ผมมองเห็นก็คือมีเด็กนักเรียนเล็กๆ ทั้งหญิงชายกลุ่มหนึ่งนั่งล้อมวงโดยมีแม่ขวัญจิตนั่งอยู่ตรงกลางที่ลานใต้ถุนบ้านทรงไทยเพื่อสอนการขับร้องเพลงอีแซวอย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อเห็นผมเดินเข้ามา แม่ขวัญจิตก็ได้อนุญาตให้ผมเดินดูบริเวณโดยรอบบ้านทั้งด้านนอกและด้านในเพื่อเลือกมุมถ่ายภาพได้ตามความพอใจ ในตอนแรก ผมได้เลือกมุมหนึ่งที่ชั้นบนของบ้านที่มีฝาไม้ประกบเป็นฉากหลังเพื่อถ่ายภาพ โดยจัดไฟที่เตรียมมาตามปกติ และได้ถ่ายภาพชุดแรกที่จุดนี้ แต่ก็ยังรู้สึกไม่ถูกใจนักกับมุมดังกล่าวเนื่องจากดูทึบทึม และไม่มีสิ่งประกอบที่น่าสนใจเท่าที่ควร ดังนั้น เมื่อเสร็จแล้วผมจึงขออนุญาตถ่ายภาพแม่ขวัญจิตอีกชุดหนึ่งในสวนอันร่มรื่นของท่าน โดยอาศัยเพียงแสงธรรมชาติเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างภาพทั้ง ๒ ชุดแล้ว ภาพในสวนดูจะให้ความรู้สึกที่สดชื่นกว่า แลดูเย็นตาและน่าสบายใจ ผมจึงตัดสินใจเลือกภาพดังกล่าวมาเป็นภาพหลักของฉบับนี้ครับ

แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ นับเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้ที่มีทั้งความสามารถในด้านเพลงพื้นบ้านอย่างลึกซึ้ง และเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมผู้ได้บำเพ็ญประโยชน์เป็นอเนกประการต่อสังคม นับเป็นศิลปินที่ชาวสุพรรณบุรีภาคภูมิใจที่สุดท่านหนึ่ง



1. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - แม่ครัวตัวอย่าง
2. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - ก็นั่นนะซี่
3. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - เศรษฐีเมืองสุพรรณ
4. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - วุ๊ยว๊าย
5. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - ผัวบ้าบ้า
6. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - พ่อเพาเวอร์
7. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - น้ำตาดอกคำใต้
8. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - สุดแค้นแสนรัก
9. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - สาวสุพรรณ
10. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - อ้อมอกเจ้าพระยา
11. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - แหลมตลุมพุก
12. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - เกียรติ นครสวรรค์(ต้นฉบับ)รักมฤตยู
13. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - ลิเกหลงโรง
14. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - กับข้าวเพชรฆาต
15. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - ปานาติบาต ศีลข้อ1 ตอน1
16. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - ปานาติบาต ศีลข้อ1 ตอน2
17. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - อทินนาทาน ศีลข้อ2 ตอน1
18. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - อทินนาทาน ศีลข้อ2 ตอน2
19. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - กาเม ศีลข้อ3 ตอน1
20. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - กาเม ศีลข้อ3 ตอน2
21. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - มุสาวาท ศีลข้อ4 ตอน1
22. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - มุสาวาท ศีลข้อ4 ตอน2
23. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - สุรา ศีลข้อ5 ตอน1
24. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - สุรา ศีลข้อ5 ตอน2
25. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - นางครวญ ตอน1
26. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - นางครวญ ตอน2
27. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - เบื่อสมบัติ
28. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - ทำบุญวันเกิด
29. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - ลาน้องไปเวียดนาม
30. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - ลาโคราช
31. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - ขวัญใจโชเฟอร์
32. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - เกลียดคนหน้าทน
33. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - ขวัญใจคนจน
34. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - หม้ายขันหมาก (ต้นฉบับ)
35. ขวัญจิต ศรีประจันต์ - ผัวหาย







ศรคีรี ศรีประจวบ












ศรคีรี ศรีประจวบ เป็นนักร้องลูกทุ่งชื่อดังระดับตำนานของวงการลูกทุ่งเมืองไทย จากน้ำเสียงที่หวานหยด จนได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นราชาเพลงหวานหนึ่งเดียวของประเทศ แม้เขาจะบันทึก ผลงานเพลงไว้ค่อนข้างน้อย แต่เกือบทุกเพลงก็เป็นที่ติดหูผู้ฟังจวบจนถึงปัจจุบัน และถูกนักร้อง รุ่นหลัง หยิบมาบันทึกเสียงครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่าตัวเขาจะจากโลกนี้ไปหลายสิบปีแล้วก็ตาม


ประวัติ

ศรคีรี เล่าถึงประวัติของตัวเองเอาไว้เมื่อ พ.ศ. 2515 ว่า "บ้านเกิดผมเลขที่ 13 บ้านหนองอ้อ ต. บางกระบือ อ.บางคณที (จ.สมุทรสงคราม ) พ่อผมชื่อมั่ง แม่ชื่อเชื้อ ผมมีพี่น้อง 6 คน ผมเป็นคนสุดท้อง ชื่อจริงผม ชื่อ ศรชัย (น้อย) ทองประสงค์ เกิดวันที่ 4 มีนาคม 2487 ผมเรียนจบ ป.4 ที่โรงเรียนพรหมสวัสดิ์สาธร จบมาก็ช่วยแม่ปาดตาล (มะพร้าว) ปีนต้นตาลทุกวัน มันเหนื่อยก็เลยหยุดพักบนยอดตาล เพื่อ ไม่ให้เสียเวลาผมก็ร้องเพลงบนยอดตาลจนหายเหนื่อยแล้วค่อยทำงานต่อ เพลงที่ชอบร้องก็มี "เสือสำนึกบาป" , "ชายสามโบสถ์" เพราะตอนนั้นเพลงของคำรณ สัมบุณนานนท์ ฮิตเป็นบ้าเลย ตอนนั้นอยาก เป็นนักร้องใจแทบขาด เวลาวงดนตรีของ พยงค์ มุกดา มาแสดงใกล้บ้าน ผมจะไปสมัครร้องให้คุณพยงค์ฟัง แกบอกว่าให้ไปหัดร้องมาใหม่ พยายามอยู่ 2 ครั้งครูพยงค์บอกว่ายังไม่ดี ผมเลย เลิกไปเอง จากนั้นพออายุ 20 ปี บวชได้พรรษาหนึ่งก็สึก พ่อแม่ผมไปซื้อไร่ที่ อ.ปราณบุรีจ.ประจวบคีรีขันธ์ โน่น ตอนนั้นเขากำลังทำไร่สับปะรดกัน"

แต่ประวัติอีกกระแสบอกว่า เพราะรักครั้งแรกเป็นพิษขณะที่บวช เมื่อว่าที่พ่อตาให้ลูกสาวแต่งงานกับชายอื่น เขาจึงเตลิดหนีออกจากบ้านมาอยู่กับพี่ชายที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยพี่ชายแบ่งไร่สับปะรดให้ทำ

ที่นี่ ศรคีรีเริ่มร้องเพลงอีกครั้ง โดยเข้าประกวดร้องเพลงตามงานวัด และคว้ารางวัลมากมาย จนเพื่อนชื่อ พยงค์ วงศ์สัมพันธ์ มาชวนให้ร่วมวงที่เช่าเครื่องดนตรี และจ้างครูดนตรีจากที่ค่าย "ธนะรัชต์" มาสอน เพื่อความสนุกในหมู่บ้าน ต่อมาเมื่อคนรู้จักมากขึ้น จึงตั้งวง "รวมดาววัยรุ่น" ที่ต่อ มาเปลี่ยนชื่อเป็น "รวมดาวเมืองปราณ" รับงานแสดงทั่วไปตามบ้านที่ขายสับปะรดได้โดยไม่คิดเงินทอง ตอนนั้นศรคีรีร้องเพลงแบบรำวง และใช้ชื่อ "พนมน้อย" เพราะร้องเพลงของ พนม นพพร และศักดิ์ชาย วันชัย ต่อมาได้นำวงมาแสดงในงานปีใหม่ของจังหวัด "ประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ฟังเสียง และเห็นหน้าก็รักใคร่ชอบพอ จึงเปลี่ยนชื่อให้เป็น ศรคีรี ศรีประจวบ

หลังจากนั้น วิจิตร ฤกษ์ศิลป์วิทยา คนอยู่ใกล้บ้านกันให้การสนับสนุนเพื่อวงดนตรีแข็งแรงขึ้นและพากันเข้ากรุงเทพฯ เช่าเวลารายการวิทยุยานเกราะจาก จำรัส วิภาตะวัธ วิ่งล่องกรุงเทพฯ ประจวบฯอยู่บ่อยๆ ก็ได้พบกับ เพลิน พนาวัลย์ ที่พาเขาไปพบ ครูไพบูลย์ บุตรขัน ที่บ้าน ตามคำขอร้องของศรคีรี


โด่งดัง

"ภูพาน เพชรปฐมพร" นักร้องที่ใกล้ชิดกับศรคีรีในวง “ รวมดาววัยรุ่น “ เล่าว่า ตอนไปขอเพลง ตอนนั้นครูมีนักร้องที่ดังมากคือ รุ่งเพชร แหลมสิงห์เป็นลูกศิษย์อยู่ ศรคีรีก็ร้องเพลงแนวเดียว กัน ครูไพบูลย์ก็ไม่ให้ จึงต้องเทียวไปเทียวมาอยู่หลายครั้ง จนครูใจอ่อน เพลงแรกที่ได้มาคือ น้ำท่วม ตอนที่บันทึกเพลง น้ำท่วม จ. ประจวบคีรีขันธ์ เสียหายอย่างมาก สับปะรดถูกน้ำท่วมทั้ง หมด นอกจากนั้น ครูก็ยังให้เพลงมาอีก 3 เพลง คือ "บุพเพสันนิวาส" , "แม่ค้าตาคม" , "วาสนาพี่น้อย" สำหรับการบันทึกเสียงครั้งแรกนั้น ชุดแรกมีทั้งหมด 6 เพลง คือ น้ำท่วม, บุพเพสันนิวาส, วาสนาพี่น้อย, แม่ค้าตาคม, พอหรือยัง และบางช้าง งานนี้ ศรคีรี เปลี่ยนสภาพจากนักร้องเพลง รำวง มาเป็น นักร้องเพลงหวานโดยสมบูรณ์

หลังจากเพลงเริ่มเป็นที่รู้จัก ศรคีรีลงมาอยู่กรุงเทพฯ แต่ยังไม่นำวงดนตรีมาด้วย โดยจะนำมาก็แต่เมื่อมีงาน ครั้งแรกในกรุงเทพฯ เขาเปิดการแสดงงานศพน้องชายครูไพบูลย์ที่วัดหลักสี่ บางเขน จากนั้นวงก็เริ่มรับงานในกรุงเทพฯ และเดินสายทั่วประเทศ และในการออกเดินสายใต้เป็นครั้ง แรก วงประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จัดว่าเป็นวงที่มีค่าตัวแพงวงหนึ่ง ช่วงนั้นศรคีรีได้มีโอกาสแสดงหนังของ ครูรังสี ทัศนพยัคฆ์ เรื่อง "มนต์รักจากใจ" ด้วย

ต่อมาศรคีรีมีชื่อเข้าไปพัวพันคดีสังหารคนในวงการด้วยกัน ชื่อเสียงจึงตกลงไปบ้าง แต่ในที่สุดก็พิสูจน์ตัวเองได้ และกลับมาอีกครั้งในเพลง "ตะวันรอนที่หนองหาร" "อยากรู้ใจเธอ" รักแล้งเดือนห้า" "ลานรักลั่นทม" และ "คิดถึงพี่ไหม" ซึ่งเพลงหลังนี้ ขณะบันทึกเสียงศรคีรีร้องโดยปิดไฟมืด ซึ่งเขาไม่เคยทำมาก่อน เพลงนี้แต่งโดย พยงค์ มุกดา โดย ทิว สุโขทัย เคยร้องไว้เป็นคนแรกและเสียชีวิตไปก่อนหน้า และเพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายที่ศรคีรีได้บันทึกเสียงไว้

ลาลับ

ก่อนเสียชีวิต ศรคีรีเคยไปทำการแสดงที่โรงหนังเอกมัยราม่า มีคนนำเอาพวงมาลัยดอกไม้สด แต่คาดด้วยผ้าดำแบบที่ทำไว้สำหรับคนตายมอบให้บนเวทีขณะร้องเพลง ศรคีรีรับไว้ด้วยความเกรงใจ เมื่อกลับเข้าหลังเวที ศรคีรีสั่งเลิกการแสดงคืนนั้นทันทีทั้งที่ร้องเพลงได้เพียง 5 เพลง

ด้วยวัยแค่ 28 ปี ศรคีรี ศรีประจวบ จากโลกนี้ไปเมื่อ 30 มกราคม 2515 ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในเวลาไม่แน่นอน ประมาณ 03.00 - 05.00 น.บริเวณริมถนนพหลโยธิน ต.อ่างทอง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ขณะเดินทางกลับจากการแสดงที่วัดหน้าพระธาตุ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์เข้ากรุงเทพฯ เพื่อเปิดทำการแสดงที่วัดภาษี เอกมัย ในตอนค่ำ คาดว่าคนขับรถของศรคีรีเกิดง่วงนอน จึงจอดรถเก๋งโตโยต้าคราวน์ข้างทางเพื่อพักสักงีบ แต่ปรากฏว่ารถบรรทุกไม้ วิ่งมาด้วยความเร็วสูงประกอบกับบริเวณนั้นเป็นสะพานสูง เมื่อรถบรรทุกไม้วิ่งมาด้วยความเร็ว เมื่อถึงสะพานก็ทำให้รถกระโดดเสียหลัก ขึ้นไปทับรถของศรคีรี ทำให้เขาเสียชีวิตคาที่

หลังแสดงวันนั้น ลูกวงได้ออกเดินทางมายังจุดนัดพบที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งก่อน แต่หลังจากที่ลูกวงรออยู่นาน หัวหน้าวงยังเดินทางมาไม่ถึง จึงออกเดินทางต่อ แต่วิ่งไปสักระยะหนึ่ง ก็มีรถพลเมืองดีวิ่งไล่ตามและเรียกให้จอด เพื่อแจ้งข่าวเรื่องการประสบอุบัติเหตุของรถของศรคีรี หลังพบใบปลิวการแสดงปลิวออกจากรถศรคีรีเกลื่อนกลาด หลังรถบัสวิ่งกลับไปก็พบศพดังกล่าว ข้อมูลบางแหล่งบอกว่า ศรคีรี เสียชีวิตประ มาณ 8.00 น.ซึ่งเวลาดังกล่าวน่าจะเป็นเวลาพบศพมากกว่า

ก่อนเสียชีวิต ศรคีรี สมรสแล้ว และมีบุตรธิดารวม 3 คน เป็นชาย 2 หญิง 1 ชื่อ สมศักดิ์ ,ชนัญญา และสันติ

ครูไพบูลย์ บุตรขัน เคยเขียนไว้อาลัยการจากไปของศรคีรีว่า "แด่สุดรัก เธอเกิดมาเป็นผู้กล่อมโลก ฉันเป็นผู้ถ่ายทอดอารมณ์ บัดนี้เธอจากโลกไปแล้วเหลือเพียงเสียงเพลง ศรคีรี ศรีประจวบ ฉันเสียดาย เสียดายจริงๆ เพราะเธอควรจะอยู่กล่อมโลกให้นานกว่านี้
ผลงานเพลงดัง

ศรคีรี ศรีประจวบ บันทึกผลงานเพลงเอาไว้บางส่วน ดังนี้

01. ฝนตกฟ้าร้อง (ไพบูลย์ บุตรขันธ์) 02. วาสนาพี่น้อย (ไพบูลย์ บุตรขันธ์) 03. ขี่เหร่ก็รัก (ไพบูลย์ บุตรขันธ์) 04. บุพเพสันนิวาส (ไพบูลย์ บุตรขันธ์) 05. แม่ค้าตาคม (ไพบูลย์ บุตรขันธ์) 06. น้ำท่วม (ไพบูลย์ บุตรขันธ์) 07. แล้งน้ำใจ (พยงค์ มุกดา) 08. ดอกรักบานแล้ว (ไพบูลย์ บุตรขันธ์) 09. หนุ่มนาบ้ารัก (ไพบูลย์ บุตรขันธ์) 10. ทุ่งรัก (ครูพงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา) 11. พอหรือยัง (ชลธี ธารทอง) 12. บางช้าง (ศรคีรี ศรีประจวบ) เพลงแก้คือ สาวบางช้าง - ขวัญดาว จรัสแสง 13. หวานเป็นลมขมเป็นยา (สำเนียง ม่วงทอง) 14. เฝ้าดอกฟ้า (ไพบูลย์ บุตรขันธ์) 15. หนาวลมเรณู (สุรินทร์ ภาคศิริ) (สนธิ สมมาตร์ เคยนำมาร้อง) 16. ตะวันรอนที่หนองหาร (พงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา) 17. เสียงขลุ่ยบ้านนา (เกษม สุวรรณเมนะ) (สายัณห์ สัญญา เคยนำมาร้อง แต่เปลี่ยนชื่อเพลงเป็น เสียงขลุ่ยเรียกนาง) เพลงแก้คือ มนต์ขลังเสียงขลุ่ย - วันเพ็ญ เดือนเต็มดวง 18. มนต์รักแม่กลอง (ไพบูลย์ บุตรขันธ์) 19. หนุ่มกระเป๋า (ไพบูลย์ บุตรขันธ์) 20. รักแล้งเดือนห้า (ไพบูลย์ บุตรขันธ์) 21. ลานรักลั่นทม (ไพบูลย์ บุตรขันธ์) 22. รักจากใจ (สำเนียง ม่วงทอง) 23. ไปให้พ้น (สมนึก ปราโมทย์) 24. คนมีเวร (สงเคราะห์ สมัตภาพงษ์) 25. อยากรู้ใจเธอ (ไพบูลย์ บุตรขันธ์) 26. เข็ดแล้ว (ไพบูลย์ บุตรขันธ์) 27. พระอินทร์เจ้าขา (ไพบูลย์ บุตรขันธ์) เพลงแก้คือ เทวดาเจ้าคะ - เตือนใจ บุญพระรักษา 28. คิดถึงพี่ไหม (พยงค์ มุกดา) เพลงแก้คือ น้องคิดถึงพี่ - ขวัญดาว จรัสแสง 29. ทุ่งสานสะเทือน (พยงค์ มุกดา) 30. เสียงซุงเว้าสาว (ไพบูลย์ บุตรขันธ์) 31. รักเธอหมดใจ (ไพบูลย์ บุตรขันธ์) 32. กล่อมนางนอน (ไพบูลย์ บุตรขันธ์) 33. แม่กระท้อนห่อ (พยงค์ มุกดา) 34. หนุ่มนา (พยงค์ มุกดา)

หลังจบการศึกษาก็มาช่วยครอบครัวปาดตาล (มะพร้าว) โดยระหว่างที่ พักเหนื่อยอยู่บนยอดมะพร้าวก็มักจะร้องเพลงอยู่บนนั้น จนหายเหนื่อยแล้วค่อยทำงานต่อ เพลงที่ชอบร้องก็มี "เสือสำนึกบาป" , "ชายสามโบสถ์" เพราะตอนนั้นเพลงของคำรณ สัมบุณนานนท์ กำลังฮิต ตอนนั้นเขาอยากเป็นนักร้องใจแทบขาด เวลาวงดนตรีของครู พยงค์ มุกดา มาแสดงใกล้บ้าน เขาก็ไปสมัครร้องเพลง แต่พอร้องให้ครูพยงค์ฟัง แกก็บอกว่าให้ไปหัดร้องมาใหม่ เขาพยายามอยู่ 2 ครั้ง ครูพยงค์ก็บอกว่ายังไม่ดี เขาเลยท้อและเลิกไปเอง จากนั้นพออายุ 20 ปี บวชได้พรรษาหนึ่งก็สึก ตอนนั้นพ่อแม่เขาไปซื้อไร่ทำสัปปะรดที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เขาก็เลย ย้ายไปที่นั่น

แต่ประวัติอีกกระแสบอก ว่า เพราะรักครั้งแรกเป็นพิษขณะที่บวช เมื่อว่าที่พ่อตาให้ลูกสาวแต่งงานกับชายอื่น เขาจึงเตลิดหนีออกจากบ้านมาอยู่กับพี่ชายที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยพี่ชายแบ่งไร่สับปะรดให้ทำ

จะอย่าง ไรก็ตาม ที่นี่ เขาได้เริ่มร้องเพลงอีกครั้ง โดยเข้าประกวดร้องเพลงตามงานวัด และคว้ารางวัลมากมาย จนเพื่อนชื่อ พยงค์ วงศ์สัมพันธ์ ชวนให้ร่วมวงที่เช่าเครื่องดนตรี และจ้างครูดนตรีจากที่ค่าย "ธนะรัชต์" มาสอน เพื่อสร้างความสนุกในหมู่บ้าน ต่อมาเมื่อคนรู้จักมากขึ้น จึงตั้งวง "รวมดาววัยรุ่น" ที่ต่อ มาเปลี่ยนชื่อเป็น "รวมดาวเมืองปราณ" รับงานแสดงทั่วไปตามบ้านที่ขายสับปะรดได้โดยไม่คิดเงินทอง ตอนนั้นศรคีรีร้องเพลงแบบรำวง และใช้ชื่อ "พนมน้อย" เพราะร้องเพลงของ พนม นพพร และศักดิ์ชาย วันชัย ต่อมาได้นำวงมาแสดงในงานปีใหม่ของจังหวัด "ประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ฟัง เสียง และเห็นหน้าก็รักใคร่ชอบพอ จึงเปลี่ยนชื่อให้เป็น ศรคีรี ศรีประจวบ

หลังจากนั้น วิจิตร ฤกษ์ศิลป์วิทยา คนอยู่ใกล้บ้านกันให้การสนับสนุนเพื่อสร้างวงดนตรีแข็งแรงขึ้นและพากันเข้า กรุงเทพฯ เพื่อเช่าเวลารายการวิทยุยานเกราะจาก จำรัส วิภาตะวัธ พวกเขาวิ่งขึ้นล่องกรุงเทพฯ - ประจวบฯอยู่บ่อยๆ และก็ได้พบกับ เพลิน พนาวัลย์ ที่พาเขาไปพบ ครูไพบูลย์ บุตรขัน ที่บ้าน ตามคำขอร้องของศรคีรี เพื่อขอเพลงมาร้อง

ภูพาน เพชรปฐมพร นักร้องที่ใกล้ชิดกับศรคีรีในวง “ รวมดาววัยรุ่น “ เล่าว่า ตอนไปขอเพลง ตอนนั้นครูมีนักร้องที่ดังมากคือ รุ่งเพชร แหลมสิงห์ เป็นลูกศิษย์เอกอยู่ ศรคีรีก็ร้องเพลงแนวเดียวกันกับรุ่งเพชร ครูไพบูลย์ก็จึงไม่ให้เพลง เขาจึงต้องเทียวไปเทียวมาอยู่หลายครั้ง จนครูใจอ่อน ประกอบกับตอนนั้นครูไพบูลย์ ผิดใจกับรุ่งเพชรด้วย

เพลงแรกที่ได้มาคือ น้ำท่วม ตอนที่บันทึกเพลงนี้ น้ำเกิดท่วม จ. ประจวบคีรีขันธ์พอดี เสียหายอย่างมาก สับปะรดถูกน้ำท่วมทั้งหมด นอกจากนั้น ครูก็ยังให้เพลงมาอีก 3 เพลง คือ "บุพเพสันนิวาส" , "แม่ค้าตาคม" , "วาสนาพี่น้อย" สำหรับการบันทึกเสียงครั้งแรกนั้น ชุดแรกมีทั้งหมด 6 เพลง คือ น้ำท่วม, บุพเพสันนิวาส, วาสนาพี่น้อย, แม่ค้าตาคม, พอหรือยัง และบางช้าง งานนี้ ศรคีรี เปลี่ยนสภาพจากนักร้องเพลง รำวง มาเป็น นักร้องเพลงหวานโดยสมบูรณ์

หลังจากเพลงเริ่มเป็นที่รู้จัก ศรคีรีลงมาอยู่กรุงเทพฯ แต่ยังไม่นำวงดนตรีมาด้วย โดยจะนำมาก็แต่เมื่อมีงาน ครั้งแรกในกรุงเทพฯ เขาเปิดการแสดงงานศพน้องชายครูไพบูลย์ที่วัด หลักสี่ บางเขน จากนั้นวงก็เริ่มรับงานในกรุงเทพฯ และเดินสายทั่วประเทศ ซึ่งในการออกเดินสายใต้เป็นครั้ง แรก วงประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จัดว่าเป็นวงที่มีค่าตัวแพงวงหนึ่ง ช่วงนั้นศรคีรีได้มีโอกาสแสดงหนังของ ครูรังสี ทัศนพยัคฆ์ เรื่อง "มนต์รักจากใจ" ด้วย

ต่อมาศรคีรีมีชื่อเข้าไปพัวพันคดีสังหารคนในวงการด้วยกัน ชื่อเสียงจึงตกลงไปบ้าง แต่ในที่สุดก็พิสูจน์ตัวเองได้ และกลับมาอีกครั้งในเพลง"ตะวันรอนที่หนองหาร" "อยากรู้ใจเธอ" รักแล้งเดือนห้า" "ลานรักลั่นทม" และ "คิดถึงพี่ไหม" ซึ่งเพลงหลังนี้ ขณะบันทึกเสียงศรคีรีร้องโดยปิดไฟมืด ซึ่งเขาไม่เคยทำมาก่อน เพลงนี้แต่งโดย พยงค์ มุกดา โดย ทิว สุโขทัย เคยร้องไว้เป็นคนแรกและเสียชีวิตไปหลังจากที่ร้องไว้ไม่นาน และเพลงนี้ก็เป็นเพลงสุดท้ายที่ศรคีรีได้บันทึกเสียงไว้ด้วย

ก่อนเสียชีวิต ศรคีรีเคยไปทำการแสดงที่โรงหนังเอกมัยราม่า มีคนนำเอาพวงมาลัยดอกไม้สด แต่คาดด้วยผ้าดำแบบที่ทำไว้สำหรับคนตายมอบให้บนเวทีขณะร้องเพลง ศรคีรีรับไว้ด้วยความเกรงใจ เมื่อกลับเข้าหลังเวที ศรคีรีสั่งเลิกการแสดงคืนนั้นทันทีทั้งที่ร้องเพลงได้เพียง 5 เพลง

ด้วยวัยแค่ 32 ปี ศรคีรี ศรีประจวบ จากโลกนี้ไปเมื่อ 30 มกราคม 2515 ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน ประมาณ 03.00 - 05.00 น.บริเวณริมถนนสายเอเชีย อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร ขณะเดินทางกลับจากการแสดงที่วัดหน้าพระธาตุ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์เข้ากรุงเทพฯ เพื่อเปิดทำการแสดงที่วัดภาษี เอกมัย ในตอนค่ำ คาดว่าคนขับรถของศรคีรีเกิดง่วงนอน จึงจอดรถเก๋งโตโยต้าคราวน์ข้างทางเพื่อพักสักงีบ แต่ปรากฏว่ารถบรรทุกไม้ วิ่งมาด้วยความเร็วสูงประกอบกับบริเวณนั้นเป็นสะพานสูง เมื่อรถบรรทุกไม้วิ่งมาด้วยความเร็ว เมื่อถึงสะพานก็ทำให้รถกระโดดเสียหลัก ขึ้นไปทับรถของศรคีรี ทำให้เขาเสียชีวิตคาที่

หลังแสดงวันนั้น ลูกวงได้ออกเดินทางมายังจุดนัดพบที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งก่อน แต่หลังจากที่ลูกวงรออยู่นาน หัวหน้าวงยังเดินทางมาไม่ถึง จึงออกเดินทางต่อ แต่วิ่งไปสักระยะหนึ่ง ก็มีรถพลเมืองดีวิ่งไล่ตามและเรียกให้จอด เพื่อแจ้งข่าวเรื่องการประสบอุบัติเหตุของรถของศรคีรี หลังพบใบปลิวการแสดงปลิวออกจากรถศรคีรีเกลื่อนกลาด หลังรถบัสวิ่งกลับไปก็พบศพดังกล่าว ข้อมูลบางแหล่งบอกว่า ศรคีรี เสียชีวิตประ มาณ 8.00 น.ซึ่งเวลาดังกล่าวน่าจะเป็นเวลาพบศพมากกว่า

ก่อนเสียชีวิต ศรคีรี สมรสแล้ว โดยมีบุตรธิดารวม 3 คน เป็นชาย 2 หญิง 1 ชื่อ สมศักดิ์ ,ชนัญญา และสันติ

ครูไพบูลย์ บุตรขัน เคยเขียนไว้อาลัยการจากไปของศรคีรีว่า "แด่สุดรัก เธอเกิดมาเป็นผู้กล่อมโลก ฉันเป็นผู้ถ่ายทอดอารมณ์ บัดนี้เธอจากโลกไปแล้วเหลือเพียงเสียงเพลง ศรคีรี ศรีประจวบ ฉันเสียดาย เสียดายจริงๆ เพราะเธอควรจะอยู่กล่อมโลกให้นานกว่านี้ "

เพลง ที่เอามาให้ฟังวันนี้มีชื่อว่า " พอหรือยัง" ประพันธ์คำร้อง ทำนองโดยครูชลธี ธารทอง คนเมืองชลเช่นเดียวกับผม ที่ต่อมาได้รับสมญาว่า " เทวดาเพลง" เพราะในยุครุ่งเรือง ไม่ว่าแต่งเพลงอะไร ดังเกือบทั้งหมด สำหรับเพลงนี้ มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจมาก แทบจะนำไปสร้างเป็นนิยายชั้นดีได้เลยทีเดียว เพราะมีทั้งการชิงรักหักสวาท โชคชะตาชีวิต การคดโกง การหักหลังเพื่อน แต่สุดท้ายก็จบลงแบบ แฮปปี้เอนดิ้ง

ชลธี ธารทอง เข้าสู่วงการลูกทุ่งเพราะร้องเพลงเพราะ และชอบร้องเพลง ไปๆมาๆเขาก็ได้มาเป็นนักร้องประจำวง" รวมดาวกระจาย "ของครูสำเนียง ม่วงทอง (ผู้ประพันธ์เพลง " แอบรักแอบคิดถึง" ที่ต่าย อรทัย นำกลับมาร้องใหม่และกำลังดังอยู่ในปัจจุบัน) ชลธี ธารทองมีโอกาสบันทึกแผ่นเสียงอยู่ 4 เพลง แต่ไม่ดังสักเพลง แต่ระหว่างที่เป็นนักร้องอยู่นั้น เขาก็หัดการแต่งเพลงไปด้วย โดยสอบถามเอากับหัวหน้าวงอย่างครูสำเนียง

ระหว่างที่อยู่กับวง ชลธี ธารทอง ไปปักใจสมัครรักใคร่กับนักร้องสาวร่วมวงอีกคน ซึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เธอก็ดูเหมือนว่าจะมีใจให้กับเขาเช่นกัน ทำให้หนุ่มชลธีดีอกดีใจอยู่ไม่น้อย แต่หลังจากที่พบความจริงว่า จริงๆแล้วเธอหลอกเขา เพราะเธอแอบไปควงกับนักร้องในวงอีกคน ชลธีเสียใจอย่างมาก และแอบไปนั่งร่ำสุราบานเคล้าน้ำตา พร้อมกับแต่งเพลงขึ้นมาเพลงหนึ่งที่พูดถึงความเจ็บช้ำในครั้งนี้ ซึ่งเพลงนั้นก็คือเพลง "พอหรือยัง"ชลธี ธารทอง







เมื่อ แต่งเสร็จ และเหล้าหมด เขาก็กลับเข้าห้องพักในโรงแรม และได้ร้องเพลงนี้ระบายความเสียใจ เสียงเพลงของเขาก็ไปแทงใจสาวเจ้าที่พักอยู่ในห้องข้าง เธอจึงนำเรื่องไปฟ้องครูสำเนียงเรื่องที่ชลธี ธารทอง แต่งเพลงด่าทอเธอ แต่ก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด

ต่อมา นักร้องร่วมวงอีกคนหนึ่งเกิดมาได้ยินชลธี ธารทอง นำเพลงนี้มาร้องเล่นในยามว่าง จึงขอเพลงนี้เพื่อนำมาร้องที่หน้าเวที ซึ่งเขาก็อนุญาต และเพื่อนคนนี้ก็เคยได้รับรางวัลจากแฟนเพลงที่มาชมการแสดงจากการขับร้องเพลง " พอหรือยัง " ด้วย

ต่อมา นักร้องคนดังกล่าวออกไปอยู่กับวงดนตรีของศรคีรี ศรีประจวบ และเมื่อศรคีรี ซึ่งกำลังจะเริ่มดัง จากการปลุกปั้นของครูไพบูลย์ บุตรขัน ได้ฟังเพลงนี้ ก็เกิดชอบใจอยากจะนำมาร้องบันทึกเสียงบ้าง เมื่อสอบถามว่าเป็นผลงานการแต่ง ของใคร นักร้องคนดังกล่าวก็โกหกว่าเขาเป็นคนแต่งเอง

ศรคีรี ศรีประจวบ นำเพลงนี้มาบันทึกแผ่นเสียง โดยใช้ชื่อตัวเองว่าเป็นคนแต่ง เนื่องจากมีคนแนะนำว่า เขาน่าจะสร้างเครดิตให้กับตัวเอง เพราะตัวคนแต่งจริง (ซึ่งก็คือเจ้านักร้องคนนั้น) ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร และก็ไม่น่าจะมีชื่อเสียงอะไรอีกในอนาคต

แต่หลังจากที่เพลงนี้ดังขึ้น ชลธีก็จึงได้รู้ว่าเพลงของเขาถูกขโมย และไปร้องเรียนเอากับศรคีรี หลังจากที่เรียกเอาฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาสอบถาม เขาก็จึงได้รู้ความจริง จึงมีการขอโทษขอโพย และตอบแทนกันตามธรรมเนียม ซึ่งต่อมา ชลธีและศรคีรี ก็กลายเป็นเพื่อนซี้กันในที่สุด

นี่คือเพลงๆแรกของชลธี ธารทอง ที่ถูกนำไปบันทึกเสียง แต่มันก็ทำให้เขาต้องเริ่มกลับมานั่งคิดว่า จริงๆแล้ว เขาเหมาะสมกับงานไหนแน่ ระหว่างนักร้อง ที่พยายามมาหลายปี แต่กลับไม่ดัง กับนักแต่งเพลงที่ถูกนำไปบันทึกเสียงครั้งแรกและดังทันที

แต่ ถึงเพลงนี้จะดัง ชีวิตของชลธี กลับไม่ได้ดีขึ้น เพราะต้องไม่ลืมว่า บนแผ่นเสียงระบุว่าเพลงนี้เป็นผลงานการแต่งของศรคีรี และบางคนก็พาลคิดไปว่า มันเป็นผลงานของครูไพบูลย์ บุตรขัน ครูเพลงคู่บุญของศรคีรี เครดิตของเขาจึงไม่มี เพลงก็ขายไม่ค่อยได้ เป็นนักร้องก็ไม่ดัง แต่ขณะที่ชีวิตกำลังตกอับอย่างสุดๆอยู่นั้น เขาก็ได้เจอกับศรคีรีอีกครั้ง และศรคีรี ออกปากให้เขาแต่งเพลงมาให้อีก

หลังจากที่ชลธีบรรจงแต่งให้ สองเพลง และหวังเต็มที่ที่จะได้รับค่าแต่งเพลงก้อนงามๆอีกสักครั้ง แต่ยังไม่ทันที่จะนำไปเพลงไปเสนอ เขาก็ได้รับข่าวเศร้านั่นก็คือศรคีรี ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต ชลธีที่ผิดหวังกับชีวิตในวงการเพลงของเขามาก ตัดสินใจทันทีว่าจะกลับไปใช้ชีวิตเป็นชาวไร่ชาวนาที่บ้านนอก จึงนำ 2 เพลงนี้ไปให้กับเด็กที่ทำงานอยู่ปั้มน้ำมันคนหนึ่งและอยากเป็นนักร้องแบบไม่ คิดค่าเพลง
สองเพลงนี้คือเพลง " ลูกสาวผู้การ " และ" แหม่มปลาร้า " และเจ้าหนุ่มคนนั้น ต่อมามีชื่อเสียงระเบิดระเบ้อทั่วฟ้าเมืองไทย ทุกคนรู้จักเขาในชื่อ " สายัณห์ สัญญา "


เรียบเรียงจากหนังสือ " เทวดาเพลง " ของชลธี ธารทอง


เพลง พอหรือยัง
คำร้อง/ทำนอง ชลธี ธารทอง
ขับร้อง ศรคีรี ศรีประจวบ

พอทีนะคุณ การุณผู้ชายเถิดหนา
อย่าคิดเอาความโสภา พร่าหัวใจผู้ชาย
คุณสวยคุณเด่น ใคร เห็นเป็นต้องงมงาย
อดรัก คุณนั้นไม่ได้ ยอมตายแทบ เบื้องบาทคุณ
คุณฆ่าผู้ชาย ให้ตายมาแล้วมากล้น
ไม่พ้นไปได้สักคน หน้ามลช่างไม่การุณ
อีกซักเท่าไหร่ ถึงจะพอใจของคุณ
ผู้ชาย ทั้งโลกคงวุ่น
เสน่ห์ของ คุณนั้นแรงเหลือเกิน
หรือ ถือว่าสวย หรือถือว่ารวยสูง ด้วยยศศักดิ์
วันหนึ่งถ้า ปีกหงส์หัก
แล้วคุณจะสิ้น คนสรรเสริญ
สิ้นสาวคราวใด ใครๆเขาก็คงเมิน
แล้วคุณจะไร้ดินเดิน
มัวหลงเพลินแต่คำป้อยอ
คุณคงภูมิใจ ที่ใครพากันรุมรัก
แต่แล้วก็ต้องอกหัก เพราะหลงรักคุณนั่นหนอ
คุณ คิดแจกจ่าย หัวใจไม่รู้จักพอ
ผลกรรมที่คุณนั้นก่อ
สักวันเถิดหนอคุณจะร้องไห้